กองสาธารณสุขและสิ่งแวดล้อม องค์การบริหารส่วนตำบลคุยม่วง ประชาสัมพันธ์ การเฝ้าระวังและป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า ให้ประชาชนในพื้นที่มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเฝ้าระวังและป้องกันโรคพิษสุนัขบ้า
โรคพิษสุนัขบ้าคืออะไร
โรคพิษสุนัขบ้าหรือในภาษาอังกฤษเรียกว่า Rabies เป็นโรคติดเชื้อทางระบบประสาท ที่เกิดจากเชื้อไวรัสเรบีส์ (Rabies virus) ที่สามารถก่อให้เกิดโรคได้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นสุนัข แมว โค กระบือ หมู หนู กระต่าย ค้างคาว แพะ แต่ที่เรียกติดปากว่า พิษสุนัขบ้า เพราะพบโรคนี้ครั้งแรกในสุนัข และจากสถิติพบว่ากว่าร้อยละ 95 ของผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ในประเทศไทยเกิดจากสุนัข รองลงมาคือแมว
เชื้อไวรัส Rabies ติดต่อเข้าสู่คนได้เมื่อถูกสุนัขหรือแมวที่มีเชื้อปะปนในน้ำลายกัด ข่วน หรือเลีย โดยเชื้อจะเข้าทางบาดแผล รวมถึงเยื่อเมือก เช่น ชองปาก จมูกหรือตาได้ด้วย อย่างไรก็ตาม เคยพบกรณี ผู้ติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้าจากการบริโภคเนื้อดิบที่มาจากโค กระบือที่ติดโรคพิษสุนัขบ้าอีกด้วย
การแสดงออกของสัตว์ที่ติดเชื้อพิษสุนัขบ้ามี 2 แบบ
1. แบบก้าวร้าว เป็นลักษณะอาการที่พบโดยส่วนใหญ่ สัตว์จะมีอาการดุร้าย กระวนกระวาย วิ่งไล่กัดคนหรือสัตว์ทุกชนิดที่ขวางหน้า นอกจากนี้ยังสังเกตได้ชัดจากน้ำลายที่ไหลย้อยเนื่องจากเป็นอัมพาตของกล้ามเนื้อขากรรไกร ตัวเกร็ง หางตก ต่อมาจะเกิดอาการอัมพาต ขาหมดแรง หมดสติและตายภายในไม่กี่วันจนถึง 2 สัปดาห์
2. แบบเซื่องซึม ประเภทนี้จะสังเกตได้ยากกว่า สัตว์ที่ติดเชื้อจะมีอาการคล้ายเป็นโรคอื่นๆ เก็บตัวอยู่เงียบๆ ดูไม่มีอันตราย อาจกัดคนหรือสัตว์อื่นเมื่อถูกรบกวน จากนั้นจะเกิดอัมพาต และตายในที่สุด
อาการในสัตว์
อาการของสุนัขที่ติดโรคพิษสุนัขบ้ามี 3 ระยะด้วยกัน ซึ่งหากพบในระยะแรกยังพอรักษาได้ แต่หากการดำเนินโรคไปถึงระยะที่ 2 และ 3 แล้ว เตรียมใจบอกลากันได้เลย
ระยะที่ 1 อารมณ์ อุปนิสัยของสัตว์เปลี่ยนไปจากเดิมไม่ว่าจะเป็นความก้าวร้าวหรือเซื่องซึม
ระยะที่ 2 เริ่มมีอาการทางประสาท หงุดหงิด กระวนกระวาย ทรงตัวไม่ได้ แสดงอาการแปลกๆ เช่น มีความพยายามกัดไม่เลือก ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ หรือสิ่งของ เริ่มมีอาการอัมพาตบางส่วนของร่างกายในส่วนของกล้ามเนื้อคอและกล่องเสียง สังเกตได้ว่ามีลักษณะลิ้นห้อย น้ำลายไหล กลืนน้ำและอาหารไม่ได้
ระยะที่ 3 หรือระยะสุดท้าย จะเกิดการอัมพาตทั้งตัวอย่างรวดเร็ว และเสียชีวิตในที่สุด จากการอัมพาตของระบบประสาทและทางเดินหายใจ ระบบหายใจล้มเหลว รวมระยะเวลาเริ่มแสดงอาการจนตายประมาณ 10 วันเท่านั้น
จริงหรือ? สัตว์ที่เป็นโรคนี้จะกลัวน้ำตามชื่อ โรคกลัวน้ำ
เรื่องนี้เป็นความเข้าใจผิดเนื่องจากในอดีตอาจสังเกตเห็นสัตว์ที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้าว่ามีอาการ กลัวน้ำ คือร้องและแสดงการทุรนทุรายเวลากินน้ำ จึงเรียกว่าเป็นโรคกลัวน้ำ แต่แท้ที่จริงแล้ว สัตว์ที่เป็นโรคพิษสุนัขบ้าไม่ได้กลัวน้ำ แต่ไม่สามารถกลืนน้ำหรืออาหารได้ เนื่องจากเป็นการอัมพาตของกล้ามเนื้อคอ กล่องเสียง และหลอดอาหาร ทำให้เมื่อกินจะสำลักและเจ็บปวดมาก จึงมีอาการเหมือนกลัวน้ำ
มีวิธีปฎิบัติตัวอย่างไร เมื่อถูกสุนัข-แมวกัดหรือข่วน
เมื่อถูกสุนัขหรือแมวกัดหรือข่วน ไม่ว่าสุนัขที่กัดเรานั้นจะเป็นสุนัขที่เรา เลี้ยงเอง ของคนอื่น หรือ ไม่มีเจ้าของ (สุนัขจรจัด) ก็ตาม ให้จำหลักการให้ขึ้นใจเลยว่า ล้างแผล ใส่ยา ขังหมา หาหมอ โดยรีบล้างแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่ เพื่อขจัดน้ำลายที่อาจมีเชื้อปะปนจากนั้น ใส่ยาฆ่าเชื้อ ซึ่งอาจเป็นทิงเจอร์ไอโอดีนหรือเบตาดีนก็ได้ หากเป็นสัตว์ที่ไม่รู้จักหรือแม้แต่สัตว์เลี้ยงที่ฉีดพิษสุนัขบ้าแล้วก็อย่าเพิ่งวางใจ ให้ขังหรือกักบริเวณสัตว์ไว้เพื่อเฝ้าดูอาการประมาณ 2 สัปดาห์ หากสัตว์มีอาการผิดปกติหรือเสียชีวิตให้รีบแจ้งแพทย์ผู้รักษา เมื่อใส่ยาแล้วให้รีบไปพบแพทย์โดยด่วนเพื่อฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าและป้องกันบาดทะยัก
ในกรณีที่ถูกสัตว์กัดเป็นแผลใหญ่และลึก หรือเป็นบริเวณที่มีเส้นเลือดหล่อเลี้ยงอยู่จำนวนมาก เช่น บริเวณใบหน้าหรือใกล้สมอง แพทย์อาจจะพิจารณาฉีดอิมมูโนโกลบูลินเพื่อทำลายเชื้อไวรัสบริเวณบาดแผลให้ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แม้โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคอันตรายถึงตาย แต่ถ้าพบแพทย์โดยเร็วก็รอดได้
การรักษาโรคพิษสุนัขบ้า
ในอดีตเราอาจเคยผวาเพราะได้ยินว่าวิธีการรักษาโรคพิษสุนัขบ้าที่จะต้องถูกฉีดวัคซีนรอบสะดือถึง 21 เข็ม ในปัจจุบัน การรักษาเป็นการฉีดวัคซีนเพียง 4-5 เข็มเท่านั้น (ในวันที่ 0, 3, 7,และ 28) และไม่ต้องฉีดรอบสะดืออีกด้วย ทั้งนี้โปรแกรมการฉีดเข้ากล้ามเนื้อหรือเข้าผิวหนัง รวมถึงต้องฉีดอิมมูโนโกลบูลินหรือไม่นั้น จะอยู่ภายใต้ดุลยพินิจของแพทย์
ฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าได้เมื่อไหร่
การป้องกันที่ดีที่สุดคือการฉีดวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า โดยเจ้าของสัตว์เลี้ยงควรพาสัตว์เลี้ยงไปฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้าเป็นประจำปีตามที่สัตวแพทย์นัดโดยฉีดได้ตั้งแต่สุนัขและแมวอายุที่มีอายุ 3 เดือนขึ้นไป และมีการกระตุ้นซ้ำเป็นประจำทุกปี นอกจากนั้น ผู้ที่มีความจำเป็นต้องสัมผัสเป็นประจำหรือผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการถูกกัด อาทิ สัตวแพทย์ช่างตัดขนและอาบน้ำสัตว์ผู้ดูแลฟาร์มสัตว์และบุคคลที่ต้องใกล้ชิดกับสัตว์เป็นประจำ (อาจรวมถึงหลายอาชีพที่มีความเสี่ยงต่อการถูกกัด เช่นบุรุษไปรษณีย์ หรือผู้ส่งเอกสารตามบ้าน) ก็ควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าเช่นเดียวกัน (แต่เป็นคนละชนิดกับที่ให้ในสัตว์เลี้ยง)
ข่าว ณ. วันที่ 10 พ.ค. 2566 เวลา 14.54 น. โดย คุณ กฤษณา พุฒตาล
ผู้เข้าชม 47 ท่าน |